พามารู้จัก ภาษีทางตรง และภาษีต่างอ้อมคืออะไร? แตกต่างกันอย่างไร?

Blog Image
  • Admin
  • 24 JULY 2024

พามารู้จัก ภาษีทางตรง และภาษีต่างอ้อมคืออะไร? แตกต่างกันอย่างไร?

พามารู้จัก ภาษีทางตรง และภาษีทางอ้อมคืออะไร
ภาษีเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่รัฐบาลใช้ในการระดมรายได้ เพื่อใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศ ในบทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับภาษีทั้งสองประเภทหลัก คือ ภาษีทางตรง และ ภาษีทางอ้อม ซึ่งมีความสำคัญและหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป

ภาษีทางตรงคืออะไร
ภาษีทางตรง (Direct Tax) คือภาษีที่ถูกเก็บจากผู้เสียภาษีโดยตรง ซึ่งผู้เสียภาษีไม่สามารถผลักภาระภาษีไปยังผู้อื่นได้ ภาษีประเภทนี้มักจะถูกเก็บจากรายได้หรือทรัพย์สินของผู้เสียภาษี ตัวอย่างของภาษีทางตรงได้แก่:
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax)
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นภาษีที่เก็บจากรายได้ของบุคคล เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าธรรมเนียม ค่าลิขสิทธิ์ และรายได้อื่นๆ ที่เกิดจากการทำงานหรือการลงทุน ภาษีนี้มีลักษณะเป็นแบบขั้นบันได ซึ่งหมายความว่า อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนรายได้ที่เพิ่มขึ้น
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)
ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีที่เก็บจากรายได้ของบริษัทหรือองค์กรธุรกิจ รายได้ที่ต้องเสียภาษีนี้รวมถึงกำไรที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจ การลงทุน และรายได้อื่นๆ ของบริษัท อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลมักจะเป็นอัตราคงที่
3. ภาษีทรัพย์สิน (Property Tax)
ภาษีทรัพย์สินเป็นภาษีที่เก็บจากการถือครองทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน อาคาร และอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ภาษีนี้มักจะถูกเก็บโดยท้องถิ่นและนำไปใช้ในการพัฒนาชุมชนและการให้บริการสาธารณะ

ภาษีทางอ้อมคืออะไร
ภาษีทางอ้อม (Indirect Tax) คือภาษีที่ถูกเก็บจากการซื้อขายสินค้าและบริการ ซึ่งผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระภาษีไปยังผู้อื่นได้ ภาษีประเภทนี้มักจะถูกเก็บในรูปของค่าภาษีที่รวมอยู่ในราคาสินค้าหรือบริการ ตัวอย่างของภาษีทางอ้อมได้แก่:
1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax - VAT)
ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่ถูกเก็บจากมูลค่าของสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่าย ผู้ขายสินค้าและบริการจะเก็บภาษีนี้จากผู้ซื้อและส่งให้กับรัฐบาล
2. ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax)
ภาษีสรรพสามิตเป็นภาษีที่เก็บจากสินค้าหรือบริการที่เฉพาะเจาะจง เช่น เหล้า บุหรี่ น้ำมันเชื้อเพลิง และสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ ภาษีนี้มักจะถูกเก็บเพื่อควบคุมการบริโภคสินค้าที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม
3. ภาษีศุลกากร (Customs Duty)
ภาษีศุลกากรเป็นภาษีที่เก็บจากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งมักจะมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้า ภาษีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศและเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล

ความสำคัญของภาษีทางตรงและทางอ้อม
ภาษีทางตรง
เพิ่มความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ: เนื่องจากภาษีทางตรงมักจะมีโครงสร้างภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งผู้มีรายได้สูงจะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่า ผู้มีรายได้ต่ำ ดังนั้น ภาษีนี้จึงช่วยเพิ่มความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ
เพิ่มรายได้ของรัฐ: ภาษีทางตรงเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงและสามารถคาดการณ์ได้ ทำให้รัฐบาลสามารถวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งเสริมการออมและการลงทุน: การเก็บภาษีจากรายได้ที่สูงอาจเป็นการกระตุ้นให้ผู้เสียภาษีทำการออมหรือการลงทุนเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี

ภาษีทางอ้อม
เพิ่มรายได้ของรัฐ: ภาษีทางอ้อมเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐ เนื่องจากภาษีนี้ถูกเก็บจากการบริโภคสินค้าและบริการที่เกิดขึ้นในทุกๆ วัน
ส่งเสริมการควบคุมการบริโภค: ภาษีทางอ้อมสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมการบริโภคสินค้าที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การเก็บภาษีสรรพสามิตจากบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ง่ายต่อการจัดเก็บ: ภาษีทางอ้อมมักจะถูกเก็บจากผู้ขายสินค้าและบริการ ทำให้การจัดเก็บภาษีนี้มีความสะดวกและมีประสิทธิภาพ

ความแตกต่างระหว่างภาษีทางตรงและทางอ้อม
ลักษณะการเก็บภาษี: ภาษีทางตรงถูกเก็บจากรายได้หรือทรัพย์สินของผู้เสียภาษีโดยตรง ในขณะที่ภาษีทางอ้อมถูกเก็บจากการบริโภคสินค้าและบริการ
การผลักภาระภาษี: ผู้เสียภาษีทางตรงไม่สามารถผลักภาระภาษีไปยังผู้อื่นได้ แต่ภาษีทางอ้อมสามารถถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภคได้
การคำนวณภาษี: ภาษีทางตรงมักจะมีการคำนวณภาษีที่ซับซ้อนและต้องการการรายงานที่ละเอียด ในขณะที่ภาษีทางอ้อมมักจะมีการคำนวณภาษีที่ง่ายกว่าและมีการเก็บภาษีแบบอัตโนมัติ
การควบคุมการบริโภค: ภาษีทางอ้อมสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมการบริโภคสินค้าที่ไม่พึงประสงค์ได้ แต่ภาษีทางตรงไม่มีบทบาทในเรื่องนี้

ภาษีทางตรงและทางอ้อมเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่รัฐบาลใช้ในการระดมรายได้เพื่อการพัฒนาประเทศและการให้บริการสาธารณะ ภาษีทางตรง เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีทรัพย์สิน มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงในการวางแผนการใช้จ่ายของรัฐบาล ขณะที่ภาษีทางอ้อม เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีศุลกากร ช่วยเพิ่มรายได้ของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถควบคุมการบริโภคสินค้าที่ไม่พึงประสงค์ได้